ปัจจุบัน โชว์รูมรถยนต์ มีการออกแบบก้าวล้ำกว่าในอดีต โดยนอกจากเป็นสถานที่จำหน่ายรถยนต์ ก็ควรมีดีไซน์ที่โดดเด่น สร้างความแตกต่างเฉพาะตัว เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ในแบบที่ไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน ผ่านงานออกแบบ (Design Concept) ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโชว์รูม เพื่อสร้างจุดเด่น สะท้อนตัวตนของแบรนด์ และเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ โดยคุณวิสูตร สุขพงษ์, กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีทู ดีไซน์ สตูดิโอ จำกัด (V2 Design Studio) ได้มาบอกเล่าถึงเทรนด์ รวมถึงแนวคิดที่น่าสนใจด้านการออกแบบโชว์รูมรถยนต์
++ จับกระแสการออกแบบ
การที่โลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัว (Digital Disruption) ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลของรถยนต์ที่สนใจได้ง่ายและเร็วขึ้น รวมถึงจำนวนทางเลือกของแหล่งข้อมูลที่สูงกว่าเดิม เปรียบเทียบได้สะดวก มีความชัดเจนกับความชอบของตนเอง และตัดสินใจเร็วขึ้น แต่โอกาสเปลี่ยนแบรนด์ก็สูงขึ้น นับเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ในทางกลับกัน นอกจากการที่โลกดิจิทัล ช่วยให้ผู้บริโภคทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น ก็เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตได้ทราบถึงความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้นเช่นกัน พิสูจน์ได้จากการแตกแขนงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อทำตลาดที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
เมื่อผู้บริโภคสามารถหาข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ โชว์รูมรถยนต์ยังจำเป็นต้องมีหรือไม่ หรือมีสิ่งใดบ้าง ที่จะถูกทดแทนที่ด้วยระบบออนไลน์ ทำให้ต้องทบทวนแนวคิดทางการออกแบบโชว์รูม ซึ่งพบว่า แม้ผู้บริโภคสามารถหาข้อมูลออนไลน์ได้ค่อนข้างมาก แต่การตัดสินใจซื้อมักเกิดหลังได้สัมผัสรถจริงที่โชว์รูม เหตุผลอีกประการก็คือ บริการหลังการขาย ซึ่งความพร้อมเรื่องอาคารสถานที่ มีผลต่อการตัดสินใจ รวมถึงความเชื่อมั่น และความเป็นมืออาชีพของทีมงาน ที่ผ่านการฝึกอบรมเป็นอย่างดี นำไปสู่การมอบประสบการณ์ใหม่อันน่าประทับใจ ผ่านการบริการที่ดีเลิศ
++ แนวทางการออกแบบ
การออกแบบโชว์รูมยุคใหม่ ใช้แนวคิดที่ต่างจากอดีต ซึ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์หรือรถยนต์เป็นอันดับแรก โดยเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการรังสรรค์ ‘ประสบการณ์ของผู้บริโภค’ (Customer Experience) โดยลงรายละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ นำเสนอผ่านหลากหลายมิติ ทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส เพื่อถ่ายทอดตัวตนของแบรนด์ นำไปสู่โอกาสการขายในอนาคต โดยเรามองความเชื่อมโยง ตั้งแต่ออนไลน์ไปสู่ออฟไลน์ โยงไปถึงข้อมูล แล้วประเมินว่าประสบการณ์แบบไหน ที่เราอยากให้ลูกค้าได้สัมผัส
เราให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัย ซึ่งเป็นเสมือนจุดเชื่อมต่อของออฟไลน์ คือ 1. การสัมผัสและทดลองขับ (Touch & Test) 2. การส่งมอบ (Handover Moment) 3. บริการหลังการขาย Aftersales Service ผ่านการออกแบบประสบการณ์ทุกมิติ ที่เกี่ยวกับการนำเสนอรถยนต์ (Product Experience) ในบรรยากาศที่เหมาะสม (Retail Experience) และเอื้อต่อการบริการของพนักงาน (People Experience)
แนวคิดทางการออกแบบดังกล่าว ได้รับการถ่ายทอดสู่แฟลกชิปโชว์รูม บีเอ็มดับเบิลยู มิลเลนเนียม ออโต้ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ เริ่มจาก Architectural Façade ที่จัดวางกล่องกระจกระนาบแนวนอนขนาดใหญ่ ในลักษณะที่เหมือนกำลังลอยเคลื่อนออกจากกัน (Floating Box) ช่วยขยายการมองเห็นของอาคารได้เต็มหน้ากว้างถนน และแบ่ง Façade ออกเป็น 3 หน้าต่างย่อย ตามกลุ่มรถที่ต่างกัน โถงจัดแสดงหลักชั้นล่างปลอดโปร่ง เชื่อมต่อเป็นมุมกว้างคล้ายแกลเลอรี่ กับองศาในการจัดวางรถยนต์ที่มีความหลากหลาย แทรกด้วยพื้นที่รับรองลูกค้า เรียกว่า ‘customer stage’ แสดงถึงการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันแรก ต่างจากอดีตที่ผลิตภัณฑ์มักต้องมาก่อน
ขยายโชว์รูมในแนวตั้ง เพื่อใช้พื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในทำเลเมือง ผ่านเทคนิคการใช้ชั้นลอย (mezzanine) เพื่อนำความสนใจของลูกค้า ให้ได้รับประสบการณ์ทั่วพื้นที่อาคาร โดยระดับที่ต่างกันของชั้นลอย ช่วยแบ่งโซนจัดแสดงตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ พร้อมความสว่างจากแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านช่องหลังคา ติดตั้งลิฟท์กระจกใสรอบด้าน เชื่อมการมองเห็นแบบไร้รอยต่อ 360 องศา หรือเรียกว่า พาโนรามิกวิว (panoramic view) อีกทั้งมีการออกแบบห้องส่งมอบรถยนต์ เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษและความประทับใจ ในวันสำคัญของลูกค้า ผสานชุดรับแขกและจอขนาดใหญ่ รองรับการแสดงภาพเคลื่อนไหว ปรับเปลี่ยนได้ตามโอกาส หรือแสดงความยินดีผ่านข้อความพร้อมชื่อลูกค้า และสามารถใช้ในกิจกรรมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสม
COMMENTS