มิชลิน ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียางรถยนต์ระดับโลก เปิดตัว ‘มิชลิน อะจิลิส 3’ (MICHELIN Agilis 3) ยางรถกระบะและรถตู้รุ่นล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อเจาะตลาดย่อยกลุ่มผู้ใช้รถสำหรับขนส่งผู้คนหรือสินค้าประเภทงานบรรทุกเบา (Light Load Segment) ซึ่งเป็นตลาดย่อยขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยยางรุ่นนี้โดดเด่นด้วยโซลูชั่นที่เหนือกว่าในทุกด้าน ทั้งความปลอดภัย สมรรถนะ และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เชน แชดเดอร์ตัน (Shane Chadderton) หัวหน้าฝ่ายการตลาดแบบองค์กร (B2B Marketing) ส่วนงานการสัญจรในเขตเมือง เปิดเผยว่า “ยาง มิชลิน อะจิลิส 3 พัฒนาขึ้นภายใต้พันธสัญญาของแบรนด์มิชลินในเรื่องการให้สมรรถนะและความปลอดภัยที่ยาวนานยิ่งกว่า (Performance and Safety Made to Last) โดยมาพร้อมนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและคุณสมบัติที่โดดเด่นเพื่อสมรรถนะที่ยาวนาน ความปลอดภัยและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมขั้นสูง ปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ยางรุ่นนี้มีข้อได้เปรียบในเชิงการแข่งขันเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดย่อยเดียวกัน แต่ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของมิชลินในเรื่องการสัญจรที่ยั่งยืนยิ่งกว่า โดยเราวางจุดยืนให้ยาง มิชลิน อะจิลิส 3 เป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตของการสัญจรในเขตเมืองอย่างยั่งยืน ยิ่งกว่านั้น ยางพัฒนาการล่าสุดรุ่นนี้ยังตอกย้ำจุดยืนทางกลยุทธ์ของกลุ่มมิชลินในเรื่องสมรรถนะที่ยั่งยืน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการสัญจรที่มีประสิทธิภาพ เข้าถึงได้ง่าย สะอาด และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น”
เทคโนโลยีและคุณลักษณะเด่นที่สำคัญของยาง มิชลิน อะจิลิส 3 ได้แก่ สันสลัดหิน (Stone Ejectors) แถบนูนแนวขวางในร่องดอกยางที่ออกแบบมาเพื่อลดปัญหาเศษหินติดตามร่องดอกยาง ช่วยให้ลูกค้าสูญเสียเวลาในการซ่อมบำรุงน้อยที่สุดและมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง, แถบปกป้องแก้มยาง (Sidewall Shields) ที่มีความหนา 1.5 มิลลิเมตร ซึ่งไม่มีในยางรุ่นก่อนหน้านี้ ผลิตจากเนื้อยางที่ทนต่อการขูดขีด ให้การปกป้องบริเวณแก้มยางและไหล่ยางเพิ่มเป็นพิเศษโดยยังคงรักษาความยืดหยุ่นของโครงยางเอาไว้, สูตรเนื้อยางนวัตกรรมใหม่ (Innovative Compound) ที่ประกอบขึ้นด้วยซิลิกาและคาร์บอนแบล็คปริมาณหนาแน่นกว่าเดิมเพื่อให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นในการยึดเกาะถนนเปียก ประหยัดเชื้อเพลิง และใช้งานได้เป็นระยะทางมากขึ้น, ร่องรีดน้ำรูปตัว U (U-Shape Grooves) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรีดน้ำ ส่งผลให้สมรรถนะการยึดเกาะถนนเปียกของยางยาวนานยิ่งขึ้น, ร่องบากแบบเต็มความหนาหน้ายาง (Full Depth Sipes) ซึ่งช่วยให้บล็อกดอกยางมีความยืดหยุ่นที่ดี ส่งผลให้ยางมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนเปียกระดับแนวหน้าในตลาด ทั้งตอนใหม่และใกล้หมดดอก และ เนื้อยางเสริมใต้ฐานดอกยาง (Undertread) ซึ่งช่วยรักษาอุณหภูมิยางล้อขณะใช้งานให้เย็นกว่าปกติ จึงช่วยลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิง
เทคโนโลยีและคุณลักษณะข้างต้นเอื้อประโยชน์สำคัญ 3 ประการให้กับผู้ใช้ยาง มิชลิน อะจิลิส 3 นั่นคือ ระยะเบรกบนถนนเปียกที่สั้นขึ้น โดยมีระยะเบรกสั้นกว่ายางคู่แข่งรายหลัก ๆ ร้อยละ 5 หรือคิดเป็นระยะทางถึง 1.9 เมตร สำหรับยางใหม่ และร้อยละ 11 หรือคิดเป็นระยะทางถึง 3.8 เมตร สำหรับยางใกล้หมดดอก1, ระยะทางในการขับขี่ตลอดอายุการใช้งานที่เหนือกว่า ใช้งานได้ยาวนานกว่ายางรุ่นก่อนถึงร้อยละ 25 และลดการสูญเสียเวลาไปกับการซ่อมบำรุงยางที่ชำรุดเสียหาย2 และ ประหยัดเชื้อเพลิงจึงช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อเทียบกับยางคู่แข่งโดยเฉลี่ย ยาง มิชลิน อะจิลิส 3 มีแรงต้านการหมุนของล้อต่ำกว่าถึงร้อยละ 123, อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่าถึง 90 มิลลิลิตร/100 กิโลเมตร และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าถึง 228 กรัม/100 กิโลเมตร
เซบาสเตียน เอโน (Sebastien Henot) ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ B2B บริษัท สยามมิชลิน จำกัด เปิดเผยว่า “ยาง มิชลิน อะจิลิส 3 ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษโดยใช้โครงยางชนิดเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อให้ยางมีศักยภาพรองรับลักษณะการใช้งานและสภาพถนนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมรรถนะที่เหนือกว่าประกอบกับประโยชน์และข้อได้เปรียบต่างๆ ที่มากับยางรุ่นนี้ภายใต้สโลแกน “มั่นใจยาวนาน พร้อมลุยงานเต็มพิกัด” ทำให้เรามั่นใจว่า มิชลิน อะจิลิส 3 จะได้รับความสนใจและการตอบรับเป็นอย่างดีในประเทศไทย”
ปัจจุบัน ยาง มิชลิน อะจิลิส 3 มีวางจำหน่ายแล้ว ณ ร้านตัวแทนจำหน่ายยางอย่างเป็นทางการของมิชลินทั่วประเทศ โดยยางทุกขนาด (รวมถึงขนาดใหม่ 4 ขนาด) ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ขอบ 13-17 นิ้ว รองรับทุกการใช้งานยางในตลาดย่อยประเภทงานบรรทุกเบา (1-3 ตัน) ของตลาดรถบรรทุกขนาดเล็กเพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทย คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.michelin.co.th
1 อ้างอิงผลทดสอบประสิทธิภาพการเบรกบนพื้นเปียกที่ความเร็วในการขับขี่ 0-80 กม./ชม. โดยบริษัท ทียูวี ไรน์แลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามคำขอของมิชลิน เมื่อเดือนมิถุนายน 2563 โดยติดตั้งยางขนาด 215/70R15C กับรถทดสอบยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไฮเอซ คอมมิวเตอร์ (Hiace Commuter) ซึ่งอยู่ในสถานะบรรทุกของเต็มพิกัดโดยน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกอยู่ที่ 2,950 กิโลกรัม เพื่อดำเนินการเปรียบเทียบยาง ‘มิชลิน อะจิลิส 3’ ทั้งสภาพใหม่และใกล้หมดดอก กับยางแบรนด์อื่นอีก 3 แบรนด์ คำว่า “ใกล้หมดดอก” ในที่นี้หมายถึงยางที่มีความลึกร่องดอกยางเหลือ 2 มิลลิเมตร
2 อ้างอิงผลการทดสอบภายในองค์กร ซึ่งมิชลินจัดทำขึ้นบนถนนจริงในประเทศไทย โดยติดตั้งยางขนาด 215/70R15C กับรถกระบะยี่ห้อฟอร์ดรุ่นเรนเจอร์ (Ranger) โดยมีค่าน้ำหนักบรรทุกบนเพลาหน้าอยู่ที่ 1,446 กิโลกรัม และเพลาท้ายอยู่ที่ 1,443 กิโลกรัม ดัชนีอายุการใช้งานคำนวณจากค่าเฉลี่ยฮาร์มอนิค (Harmonic Average) ของยางทั้ง 4 เส้น ภายใต้ข้อสันนิษฐานว่าลูกค้าทำการสลับยางสม่ำเสมอ
3 อ้างอิงผลทดสอบแรงต้านการหมุนของล้อ ซึ่งจัดทำขึ้น ณ สถาบันยานยนต์ (Thailand Automotive Institute) และได้รับการรับรองจากบริษัท ทียูวี ไรน์แลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามคำขอของมิชลิน เมื่อเดือนธันวาคม 2562 โดยทำการทดสอบกับยางขนาด 215/70R15C เปรียบเทียบระหว่างยาง ‘มิชลิน อะจิลิส 3’ กับยางคู่แข่งแบรนด์อื่น
COMMENTS